- Details
- Written by: Webmaster
- Category: About Us
- Hits: 5
วัดไชยมงคล เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่วัดหนึ่ง ของจังหวัดอุบลราชธานี โดยเป็นวัดที่สร้างขึ้นเป็นลำดับที่ ๔ ในบรรดาวัดที่สังกัดธรรมยุติกนิกายในจังหวัดอุบลราชธานี โดยวัดแรกที่สร้างคือ วัดสุปัฏนารามวรวิหาร วัดศรีอุบลรัตนาราม วัดสุทัศนาราม และ วัดไชยมงคล เป็นวัดที่สร้างขึ้นโดย เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์ (พ.ศ.๒๔๐๙ – ๒๔๒๕) ตั้งอยู่ เลขที่ ๒ ถนนสุรศักดิ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี รหัสไปรษณีย์ ๓๔๐๐๐
มีเนื้อที่ทั้งหมด ๑๔ ไร่ ๓ งาน ๘๙.๗ ตารางวา ตามเอกสาร โฉนดที่ ๑๙๔๕ เลขที่ดิน ๑ หน้าสำรวจ ๑๐๖ เล่มที่ ๒๐ หน้า ๔๕ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ออกให้ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ โดยมีอาณาเขตดังนี้
- ทิศเหนือ จรดถนนพโลชัย
- ทิศใต้ จรดถนนสุรศักดิ์
- ทิศตะวันออก จรดถนนสาธารณประโยชน์
- ทิศตะวันตก จรดที่ดินเอกชน
- Details
- Written by: Webmaster
- Category: About Us
- Hits: 12
โรงเรียนพุทธเมตตาวิทยา วัดไชยมงคล
ปลูกฝังคุณธรรมตามแนวทางพุทธศาสนา เพื่อเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่
เป็นเยาวชนที่ดีของสังคม และเป็นคนดีของประเทศชาติ
โรงเรียนพุทธเมตตาวิทยา เป็นโรงเรียนการกุศลของวัดไชยมงคล เพื่อเด็กเยาวชนผู้ไม่มีความทัดเทียมด้านการศึกษา ก่อตั้งโดย พระครูจิตวิสุทธิญาณคุณ เป็นผู้รับใบอนุญาต โรงเรียนพุทธเมตตาวิทยา มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการศึกษาให้กับเด็กเยาวชนผู้ไม่มีความพร้อมทั้งทางด้านครอบครัว รายได้ สภาพทางสังคม เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรมที่แตกต่าง โดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ
เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับก่อนประถมวัย (อนุบาล 1-3) ระดับประถมศึกษา (ประถมศึกษาปีที่ 1-6) ระดับมัธยมศึกษา (มัธยมศึกษาปีที่ 1-6) ซึ่งรับนักเรียน 2 ประเภท คือ
- นักเรียนชาย-หญิง ไป-กลับ (มีรถรับ-ส่ง บริการฟรี)
- พระภิกษุ-สามเณร (พักประจำ ณ วัดไชยมงคล)
สิ่งที่ลูกหลานท่านจะได้รับ
- การเรียนภาษาอังกฤษและภาษาจีนกับครูเจ้าของภาษา (เป้าหมายนักเรียนต้องสนทนาภาษาอังกฤษและภาษาจีนได้อย่างถูกต้อง)
- นักเรียนต้องได้รับการเรียนรู้วิชาชีพพื้นฐาน ปีการศึกษาละ 2 วิชาชีพ จากการศึกษา ลงมือทำ วิเคราะห์ ปรับปรุง และนำไปประกอบวิชาชีพได้
- นักเรียนจะได้เรียนรู้เรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อนำไปคิด ค้น เพื่อให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
นักเรียนจะได้รับ ฟรี!
- ไม่มีค่าใช้จ่ายในการศึกษา
- ชุดนักเรียน/ชุดกีฬา ปีละ 1 ชุด
- หนังสือแบบเรียน
- อาหารเช้า/กลางวัน
- บริการรถรับ-ส่ง
- เรียนรู้ภาษากับครูต่างชาติเจ้าของภาษา
ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและดูรายละเอียดต่างๆ ได้ที่นี่
- Details
- Written by: Webmaster
- Category: About Us
- Hits: 9
ประวัติความเป็นมา
สีครามเป็นสีย้อมธรรมชาติที่เก่าแก่มาก ซึ่งมนุษย์รู้จักกันมามากว่า ๖๐๐๐ ปี ประชากรที่อาศัยในเขตร้อนของโลกล้วนเคยทำสีครามจากต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ตามภูมิภาคนั้น ๆ แต่สีครามคุณภาพดีผลิตจากเอเชีย ดังเช่นสีครามจากอินเดียเป็นที่นิยมของคนอังกฤษมากกว่าสีครามจากเยอรมันและฝรั่งเศส แต่การใช้สีครามลดลงเหลือเพียง ๔% ของทั่วโลกในปี ๒๕๔๗ ต่อมาประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ประเทศของเราพบกับปัญหามลพิษจากสิ่งแวดล้อม สาเหตุหนึ่งเกิดจากสารเคมีสังเคราะห์ซึ่งรวมถึงสีย้อมด้วย สีย้อมผ้าส่วนใหญ่เป็นออกไซด์ของโลหะหนัก ซึ่งโลหะหนักหลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง ใส่แล้วรู้สึกร้อน
ดังนั้น จึงหันมานิยมสีย้อมธรรมชาติ ซึ่งในขณะ เดียวกันก็ได้นำภูมิปัญญาเก่าๆ ที่ได้สืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณจากเดิมเกือบลือหายไปแล้วนั้น กลับมาพัฒนาเป็นอาชีพหลักของลูกหลานในทุกวันนี้
ปัจจุบันถ้าจะกล่าวถึงผ้าย้อมครามในจังหวัดสกลนครนั้น ต้องนึกถึงผ้าย้อมครามของกลุ่มแม่บ้านเกษตรบ้านถ้ำเต่า ตำบลสามัคคีพัฒนา อำเภออากาศอำนวย ผ้าย้อมครามเป็นที่สนใจและต้องการมาก
แต่ผ้าย้อมครามคุณภาพดียังออกสู่ตลาดน้อย ขณะที่ผ้าย้อมครามคุณภาพปานกลางออกสู่ตลาดจำนวนมาก ส่วนผ้าย้อมครามหรือสีครามคุณภาพดี สีจะเข้มหรือจาง ก็ต้องสีสดใส สะอาด ติดทน สีไม่ตก ซึ่งคุณภาพเหล่านี้เป็นผลมาจาก คุณภาพของวัตถุดิบและความรู้ความชำนาญ ของผู้ผลิต การเตรียมสีครามและย้อมสีครามมีเทคนิคพิเศษกว่าการย้อมสีธรรมชาติอื่นๆ
เริ่มตั้งแต่การเลือกใบครามอายุพอดีและอยู่ในสภาพใบสด ดังนั้นจะต้องเก็บใบครามอายุประมาณ ๓ - ๔ เดือน ในตอนเช้ามืดก่อนน้ำค้างแห้ง และแช่น้ำปริมาณท่วมใบครามพอดีทันที และแช่ประมาณ ๑๘ - ๒๔ ชั่วโมง หากใช้เวลาแช่มากหรือน้อยกว่านี้จะได้ปริมาณสีครามน้อยกว่า การแช่ใบครามสดในน้ำไม่ใช่แช่ให้สีครามละลายน้ำดังเช่นการต้มเปลือกไม้ แต่แช่ให้สารเคมี ๒ ชนิดในใบครามสดทำปฏิกิริยากัน
เกิดเป็นสีครามที่ละลายน้ำได้ ถ้าใบครามแห้งสารเคมีชนิดหนึ่งในใบครามเสียสภาพธรรมชาติ ไม่สามารถเกิดปฏิกิริยากับสารอีกชนิดหนึ่งได้ ดังนั้น ถ้าปล่อยให้ใบครามแห้งก่อนแล้วนำมาแช่น้ำจะไม่ได้สีครามในน้ำแช่ เช่นเดียวกันกับการต้มใบครามก็ไม่ได้สีครามเช่นกัน เราสามารถย้อมผ้าในสีครามในน้ำแช่
หรือที่เรียกว่าน้ำครามได้ แต่ต้องทำอย่างรวดเร็วแข่งกับอากาศ เพราะสีครามในน้ำแช่เป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับอากาศได้ดีกลายเป็นสีครามสีน้ำเงินซึ่งไม่ละลายน้ำ ไม่สามารถซึมเข้าเกาะจับเนื้อในของใยฝ้ายได้ พูดง่ายๆ ก็คือสีครามสีน้ำเงินใช้ย้อมผ้าไม่ได้ แต่ถ้าเอาสีครามสีน้ำเงินไปหมักในน้ำขี้เถ้าในสัดส่วนที่พอเหมาะ และปรับความเป็นกรดเป็นด่างให้พอเหมาะ สีครามสีน้ำเงินจะเปลี่ยนเป็นสีครามสีเหลืองละลายในน้ำขี้เถ้า ซึ่งสีครามสีเหลืองนี้ก็ทำปฏิกิริยาได้ดีกับอากาศกลายเป็นสีคราม สีน้ำเงินเช่นกันกับสีครามในน้ำแช่ ผิวหน้าของน้ำย้อมจึงเป็นสีน้ำเงินแต่น้ำย้อมข้างล่างเป็นสีเหลือง สีครามที่ใช้ย้อมผ้าได้คือสีครามสีเหลือง ไม่ใช่สีครามสีน้ำเงินสีคราม
วัตถุดิบที่ใช้ในการย้อมสีผ้าด้วยน้ำคราม
วัตถุดิบที่ใช้ในการย้อมสีผ้าด้วยน้ำคราม ได้แก่ ใบคราม ต้นคราม เป็นไม้พุ่มล้มลุก ปลูกด้วยเมล็ด เมื่อต้นครามอายุได้ ๓ - ๔ เดือน ใบและกิ่งจะให้สีน้ำเงิน
การเตรียมใบคราม
เมื่อต้นครามมีอายุ ๔ เดือน ใบจะแก่พอเหมาะให้เริ่มเก็บเกี่ยวคราม ด้วยการนำทั้งกิ่งและใบมามัดรวมกันเป็นก้อนๆ ขนาดก้อนละ ๕๐๐ กรัม นำกิ่งและใบครามที่ทำเป็นมัดลงไปแช่น้ำ ๑๘ - ๒๔ ชั่วโมง แยกกากใบทิ้ง เติมปูนกินหมากลงไปที่ละน้อย จนน้ำครามเหลืองเข้มมีฟองสีน้ำเงิน ตีน้ำคราม (กวนคราม) ให้เกิดฟองมากๆ ๑๕ - ๓๐ นาที แล้วพักไว้ ๑ คืน ครามจะตกตะกอนปนกับปูนขาว เทของเหลวใสสีน้ำตาลชั้นบนทิ้ง เนื้อครามที่ได้จะเก็บไว้ใช้ได้นาน
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
การก่อหม้อ
- นำเนื้อครามผสมกับน้ำขี้เถา สัดส่วนเนื้อคราม ๓๖๐ กรัมต่อน้ำขี้เถ้า ๑ ลิตร
- พักน้ำครามไว้ภาชนะที่เย็นและมิดชิด
- ตักน้ำคราม ดูทุกวันๆ ละ ๒ ครั้งเช้า-เย็น
- เมื่อน้ำครามให้สีเขียวอมเหลืองจึงจะย้อมได้ ควรเตรียมน้ำครามไว้ครั้งละหลายๆ หม้อ
- การย้อมให้นำผ้าฝ้ายที่ล้างไขมันแล้ว และฝ้ายที่มัดหมี่แล้ว ลงย้อมในน้ำคราม ที่พร้อมจะย้อมได้ (ใช้วิธีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการดูและทดสอบ) และคั้นด้วยมือในน้ำครามหลายๆ หม้อ ในหนึ่งหม้อจะย้อมได้แค่ครั้งเดียว ถ้าอยากให้สีครามเข้มให้ย้อม ๘ - ๑๐ หม้อ
- เมื่อย้อมติดครบจำนวนหม้อครามตามต้องการแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด จนไม่เหลือสีครามออกในน้ำล้าง
- ผึ่งให้แห้งนำไปสู่กระบวนการทอ
เทคนิค/เคล็ดลับในการผลิต
ผ้าย้อมคราม เป็นผ้าย้อมจากน้ำครามที่ผ่านกระบวนการที่สลับซับซ้อนมาก ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและบางขั้นตอนจะใช้เวลานานพอสมควร โดยเฉพาะการหมักต้นคราม ต้องใช้เวลาหมักจนน้ำที่แช่ต้นครามมีสีครามเข้ม จึงแยกกากใบทิ้งจึงตีให้แตกเพื่อให้ได้เนื้อครามที่ตกตะกอนซึ่งสามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน
ทอฝ้ายเป็นสายบุญ | การปลูกฝ้าย | การเก็บฝ้าย | การทอฝ้าย | การตัดเย็บจีวร | การจุบคราม
- Details
- Written by: Webmaster
- Category: About Us
- Hits: 10
การตัดเย็บจีวร
วิธีตัดจีวร
ในพระธรรมวินัยกล่าวถึงขนาดของจีวร มีห้ามแต่ไม่ให้ทำเกินกว่าสุคตประมาณที่กำหนดไว้ในสิกขาบทที่ ๑๐ แห่งรตนวรรค คือ ยาว ๙ คืบ กว้าง ๖ คืบ โดยคืบพระสุคต* ส่วนขนาดย่อมกว่า ก็แล้วแต่พอดีกับบุคคลผู้ครองไม่มีข้อห้าม ประมาณที่ใช้ในประเทศไทย ยาว ไม่เกิน ๖ ศอก กว้างไม่เกิน ๔ ศอกของผู้ครอง พอได้ปริมณฑลดีเมื่อห่ม สำหรับสบง ประมาณที่ใช้ในประเทศไทย ยาวไม่เกิน ๖ ศอก กว้างไม่เกิน ๒ ศอก ของผู้ครอง การตัดจีวรที่จะอธิบายต่อไปนี้ จะใช้นิ้วฟุตเป็นมาตราวัด เพราะเห็นว่า ไม้บรรทัดใช้กันอยู่โดยทั่วไปหาได้ง่าย ขนาดและตัวอ่างนี้มิใช่เป็นแบบที่ตายตัวทีเดียว ให้ขยายตามขนาดของบุคคลเพียงแต่วางหลักกว้างๆไว้เท่านั้น (* คืบพระสุคต = เดิม คงกำหนดด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในปัจจุบันให้ถือตามมาตราวัดเป็นเมตร คือ ๑ คืบพระสุคต เท่ากับ ๒๕ เซนติเมตร) เวลาจะตัดกะดังนี้
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
- จีวรพึงกะให้ได้ขนาด คือ กว้าง ๔ ศอก ยาว ๖ ศอก ของผู้ครอง และอนุวาตกว้าง ๕ นิ้ว กุสิกว้าง ๒ นิ้วครึ่ง ตัดเป็นจีวร ๕ ขัณฑ์
- เบื้องต้น ให้วัดศอกของผู้ที่ครองก่อน ว่ายาวกี่นิ้ว เมื่อวัดได้เท่าไหร่แล้ว ให้เอา ๖ ศอก คือความยาวของจีวรคูณ เมื่อคูณได้เท่าไรแล้ว ให้คิดเป็นเนื้อที่ของกุสิเสีย ๔ กุสิๆ หนึ่ง กว้าง ๒ นิ้วครึ่ง๔ กุสิ ก็เท่ากับ ๑๐ นิ้ว อนุวาต ๒ ข้างๆละ ๕ นิ้ว ๒ ข้างเป็น ๑๐ นิ้ว เมื่อรวมกับกุสิ ๔ กุสิ จึงเป็นเนื้อที่ ๒๐ นิ้วพอดี
- ให้เอา ๒๐ นิ้วไปลบความยาวทั้งหมดของจีวร เมื่อลบแล้วคงเหลือเท่าไรให้เอา ๕ ขัณฑ์หาร เมื่อได้ผลลัพธ์เท่าไรแล้วให้เอาอนุวาต ๕ นิ้วมาบวกๆ ได้เท่าไร ก็เป็นความกว้างของขัณฑ์ตัวริมทั้ง ๒ ข้าง ขัณฑ์ตัวกลางมีกุสิอยู่ทั้ง ๒ ข้าง รวม ๕ นิ้ว ก็เอา ๕ บวกจำนวน ๕ ขัณฑ์ที่หารได้ จัดเป็นความกว้างของขัณฑ์ตัวกลาง
ขัณฑ์ตัวรอง ๒ ตัว คือตัวที่ติดกับตัวกลางทั้ง ๒ ข้าง มีกุสิตัวละ ๒ นิ้วครึ่ง ๒ ขัณฑ์ จึงเป็น ๕ นิ้ว ให้เอา ๒ นิ้วครึ่งไปบวกกับที่ ๕ ขัณฑ์ หารได้ตอนต้น จึงจัดเป็นความกว้างของขัณฑ์ตัวรอง ๒ ตัว เมื่อได้ตัดเป็นขัณฑ์ๆ ได้ ๕ ขัณฑ์ ดังกล่าวแล้ว ต่อแต่นั้นก็ให้พับขัณฑ์ (คือผ้าที่ตัดไว้ทั้ง ๕ ชิ้น) ทั้ง ๕ ขัณฑ์นั้น เป็น ๓ ส่วน ให้ตัดอัฑฒกุสิในส่วนกลาง แล้วจึงตัดกุสิทีหลัง ตอนตัดกุสิอย่าตัดทางกุสิก่อน ให้ตัดทางอัฑฒกุสิเสียก่อน เพราะถ้าตัดทางกุสิก่อนก็จะเสียใช้ไม่ได้ เวลาจะเอาขัณฑ์ทั้ง ๕ มาเย็บติดกันระวังอย่าให้ผิด เราควรจำให้ได้ว่า ทั้งหมดมีอยู่ ๕ ขัณฑ์ด้วยกันคือ
![]() |
![]() |
- ขัณฑ์กลางมีกุสิติดอยู่ ๒ ข้าง และอัฑฒกุสิ
- ขัณฑ์รอง คือขัณฑ์ที่ติดกับขัณฑ์กลางมีอยู่ ๒ ขัณฑ์ มีกุสิ และอัฑฒกุสิติดอยู่ข้างเดียว
- ขัณฑ์ริม ๒ ข้าง ไม่กุสิ มีแต่อัฑฒกุสิ (คำว่า กุสิ แปลว่ากระทงใหญ่ อัฑฒกุสิ แปลว่า กระทงเล็ก หรือกระทงกึ่ง) เมื่อเย็บติดกันทุกชิ้นแล้ว จึงให้ตัดอนุวาตกว้าง ๕ นิ้ว มาเย็บติดกันที่ริมโดยรอบ เวลาเย็บอนุวาตอย่าให้ติดทางด้านตะเข็บ ให้ติดทางด้านนอกของตะเข็บ เมื่อกล่าวโดยย่อแล้วได้ใจความว่า เบื้องต้น ให้ตัดผ้าออกเป็น ๕ ชิ้น คือตัวกลาง ๑ กับตัวริมสุด ๒ ข้าง รวม ๓ ชิ้น ให้ตัดเท่ากัน ตัวรองคือตัวติดกับตัวกลาง ๒ ตัวให้ตัดเท่ากัน แล้วจึงให้ตัดกุสิและอัฑฒกุสิในภายหลัง ดังที่อธิบายมานี้ จะสมมติวิธีตัดให้ดู ดังนี้
สมมติ ว่าผู้ที่จะครอง มีศอกยาววัดได้ ๑๗ นิ้วครึ่ง (ให้ใช้นิ้วฟุต) ให้ตั้ง ๑๗ นิ้วครึ่งลง แล้วให้เอา ๖ ศอกคูณได้ผลลัพธ์ ๑๐๕ นิ้ว แล้วให้คิดเผื่อตะเข็บอีก ๒ นิ้วครึ่ง เอาไปบวกกับ ๑๐๕ นิ้ว เป็น ๑๐๗ นิ้วครึ่ง คิดเป็นเนื้อที่กุสิและอนุวาตเสีย ๒๐ นิ้ว แล้วเอา ๒๐ ลบ ๑๐๗ นิ้วครึ่ง คงเหลือ ๘๗ นิ้วครึ่ง แล้วให้เอา ๕ ขัณฑ์หาร ๘๗ นิ้วครึ่ง ได้ ผลลัพธ์ ๑๗ นิ้วครึ่ง ตัวกลางมีกุสิ ๒ ข้าง รวมกันได้ ๕ นิ้ว ให้เอา ๕ ไปบวกกับ ๑๗ นิ้วครึ่ง จึงได้ ๒๒ นิ้วครึ่ง เป็นความกว้างของขัณฑ์กลาง ขัณฑ์รอง ๒ ขัณฑ์ ขัณฑ์หนึ่งๆ มีกุสิเดียว ๒ นิ้วครึ่ง ให้เอาไปบวกกับ ๑๗ นิ้วครึ่ง ได้ผลลัพธ์ ๒๐ นิ้ว เป็นความกว้างของขัณฑ์รอง ขัณฑ์ริมสุด ๒ ขัณฑ์ มีอนุวาตด้วยขัณฑ์ละ ๕ นิ้ว จึงให้เอา ๕ บวกกับ ๑๗ นิ้วครึ่ง จึงจะได้ ๒๒ นิ้วครึ่ง เป็นความกว้างของ ขัณฑ์ริมตัวหนึ่งๆ เมื่อรวมแล้วได้ใจความดังนี้
- ขัณฑ์กลาง ให้ตัดผ้ากว้าง ๒๒ นิ้วครึ่ง ยาว ๗๐ นิ้ว ๑ ผืน
- ขัณฑ์รอง ให้ตัดผ้ากว้าง ๒๐ นิ้ว ยาว ๗๐ นิ้ว ๒ ผืน
- ขัณฑ์ริมสุด ให้ตัดผ้ากว้าง ๒๒ นิ้วครึ่ง ยาว ๗๐ นิ้ว ๒ ผืน
- ต่อจากนั้นก็ให้ตัดกุสิ และอัฑฒกุสิจากขัณฑ์นั้นๆ ทั้ง ๕ ขัณฑ์ เวลาจะตัดกุสิ และอัฑฒกุสิ (กระทง) ให้ตัดในขัณฑ์นั้นๆ กว้างขนาด ๒ นิ้วครึ่ง หรือจะใช้กลักไม้ขีดเป็นขนาดก็ได้ ก่อนแต่จะตัดอัฑฒกุสิให้พับเป็น ๓ ส่วน แล้วให้ตัดในส่วนกลางดังกล่าวแล้ว
- เย็บให้ติดกันเรียบร้อย แล้วจึงติดอนุวาตภายหลัง อนุวาตที่เย็บติดกันนั้น ให้ใช้ผ้ากว้าง ๕ นิ้ว ส่วนยาวเอาจนรอบขอบของจีวร
- เสร็จแล้วจึงให้ติดรังดุมไว้ขวา ลูกติดไว้ซ้าย จงดูในแบบ
- เมื่อเย็บเสร็จแล้ว ถ้าคิดจะหักตอนที่ตะเข็บย่นออกเสียแล้ว ก็คงเป็นจีวรประมาณกว้าง๖๘ นิ้ว ยาว ๑๐๕ นิ้ว
การตัดสบง
การตัดสบงก็ให้คิดโดยวิธีเดียวกัน เว้นแต่เวลาวัดผ้า จะตัดออกเป็นขัณฑ์ๆ ถ้าสมมติตัดเป็นจีวรขัณฑ์หนึ่งๆ ให้ยาว ๗๐ นิ้ว ถ้าตัดเป็นสบงก็ต้องสมมติขัณฑ์หนึ่งๆ ให้ยาว ๓๕ นิ้ว และไม่ต้องติดดุมและรังดุม นอกนั้นเหมือนกันทั้งหมด สบง เมื่อตัดแล้วคิดหักตอนตะเข็บออกแล้ว ก็คงเป็นสบงกว้าง ๓๔ นิ้ว ยาว ๑๐๕ นิ้ว
อีกวิธีหนึ่ง วิธีการตัดอย่างง่ายๆ ให้วัดเอาขนาดศอกของผู้ที่จะครองนั้นกะดังนี้
- ขัณฑ์กลาง กับขัณฑ์ริมสุดทั้ง ๒ ข้าง ให้วัดขัณฑ์หนึ่งๆ กว้าง ๑ ศอก ๖ นิ้ว ยาว ๔ ศอก ๓ ขัณฑ์ รวมกว้าง ๓ ศอก ๑ คืบ ๖ นิ้ว
- ขัณฑ์รอง คือต่อจากขัณฑ์กลาง ๒ ข้าง ขัณฑ์หนึ่งๆ กว้าง ๑ ศอก ๓ นิ้ว ยาว ๔ ศอก ๒ ขัณฑ์ รวมกว้าง ๒ ศอก ๖ นิ้ว
- ต่อจากนั้นก็ให้ตัดกุสิ และอัฑฒกุสิตามแบบครั้งที่ ๒ ดังกล่าวแล้วในจีวรข้างต้น ตัดสบง
- การตัดก็อย่างเดียวกับจีวร เป็นแต่เวลาตัดขัณฑ์ ให้ลดความยาวของขัณฑ์หนึ่งๆ ลงเป็น ๒ ศอกเท่านั้น
สีที่ทรงอนุญาต
สีที่ทรงอนุญาตให้ย้อมมี ๒ ชนิด คือ สีเหลืองเจือแดงเข้ม ๑ สีเหลืองหม่น เช่น สีแก่นขนุน ที่เรียกว่ากรัก ๑
สีที่ห้ามไม่ให้ย้อม คือ สีคราม สีเหลืองล้วน สีแดงล้วน สีบานเย็น สีชมพู สีดำ อนึ่ง จะใช้สีกรักผสมกับสีแดง สีเหลืองก็ได้ แต่ส่วนผสมนั้นจะยุติเป็นแน่นอนไม่ได้ เพราะแล้วแต่ว่าสีที่ได้มานั้นจะแก่หรืออ่อน ถ้าสีแก่ก็ผสมแต่น้อย สีอ่อนก็ใช้ผสมมาก ข้อสำคัญให้ได้สีดังกล่าว
การย้อมผ้าจีวรจากเปลือกมังคุด
ขั้นตอนการย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
มังคุดผลไม้แสนอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายมากอีกชนิดหนึ่ง กำลังออกผลผลิตจนล้นตลาดและราคาก็นับว่าถูกมากเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ แต่เปลือกมังคุดที่เราแกะรับประทานเนื้อข้างในกันไปแล้วมักจะโยนทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ อันที่จริงนอกจากคุณประโยชน์ทางยาที่ใช้รักษาโรคต่างๆแล้ว เปลือกมังคุดยังใช้ประโยชน์ในการ ย้อมผ้า ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สีจากธรรมชาติเท่าที่เรารู้จักกันมาก็มีมากมายหลายชนิด แต่ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็มี เปลือกมังคุด
อุปกรณ์ที่ใช้
เปลือกมังคุดก่อนแกะเนื้อชั่งได้ ๑.๓ กก., ครก, กะละมัง, ผ้าฝ้ายสีขาว ๓๐ x ๔๐ ซ.ม., กระชอน, น้ำสะอาด ๒ ลิตร, เกลือป่น ๑ ช้อนชา
เด็ดขั้วที่เปลือกออกให้หมด แล้วใส่ครกตำทีละอย่ามากเพราะจะตำยาก ตำพอแหลกอย่าให้ถึงกับเหลว ตำหมดแล้วเติมน้ำทั้งหมดลงไปแล้วแช่ทิ้งไว้ราว ๒ ชั่วโมง จึงขยำกากเปลือกมังคุดเพื่อให้สีออกมามากที่สุด ครบสองชั่วโมง (หรือนานกว่านี้ก็ยิ่งดี) ขยำๆ อีกครั้งหนึ่งแล้วบีบแยกกากออกจากน้ำให้มากเท่าที่จะทำได้ (เหมือนคั้นกะทิ) แล้วไปกรองแยกกากออกให้หมด หรือจะไม่กรองก็ได้ จะได้สีที่สกัดออกมาเป็นชมพูอมส้มสวยงามมาก ใส่เกลือป่นที่เตรียมไว้ทั้งหมดคนให้เกลือละลาย แล้วจึงนำผ้าฝ้ายสีขาวที่เตรียมไว้จุ่มลงไปในน้ำสี คลี่ผ้าออกเพื่อให้สีติดเนื้อผ้าอย่างทั่วถึงและขยำผ้าเบาๆ แช่ผ้าทิ้งไว้ ๑ – ๒ ชั่วโมง เพื่อให้สีติดมากขึ้น แล้วจึงนำผ้าขึ้นมาบิดน้ำออก นำไปตากโดยไม่ต้องล้างน้ำ
ผ้าที่ย้อมสีเสร็จแล้วจะได้สีเหลืองนวลๆหากต้องการสีที่เข้มกว่านี้ต้องย้อมซ้ำ หรือใช้ปริมาณเปลือกมังคุดที่มากขึ้น "การย้อมควรนำผ้าลงย้อมในน้ำสีจากเปลือกมังคุดโดยไม่ต้องกรองเอากากออกก่อนก็ได้และต้องขยำผ้าให้ทั่วและนานๆ เพื่อให้สีติดอย่างทั่วถึงแล้วจึงนำไปผึ่งแดดให้แห้งก่อนจะนำกลับไปย้อมซ้ำและสามารถเพิ่มปริมาณเปลือกมังคุดลงไปในน้ำเดิมได้เพื่อให้สีเข้มขึ้น ส่วนกากที่ติดมากับผ้า เมื่อผ้าแห้งแล้วก็สะบัดผ้าหรือเอามือลูบๆออกก็ได้" การย้อมผ้าจีวรของพระนั้นต้องย้อมถึง ๑๕ – ๑๖ ครั้ง จึงจะได้ความเข้มของสีตามต้องการ
การย้อมผ้าจีวรแบบประหยัดเวลา
วัสดุอุปกรณ์
๑. หม้อน้ำร้อน | ๒. สีย้อมผ้า | ๓. ผงกันสีตก | ๔. ผงซักฟอก |
๕. แก้วพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง | ๖. เกลือ | ๗. น้ำยาซักผ้าขาว | ๘. ผ้าขี้ริ้วเยอะ ๆ |
ขั้นตอนในการย้อมผ้าจีวรแบบประหยัดเวลา
ขั้นแรก
ก็จัดการเอาผ้าที่ต้องการย้อมไปซักเสียให้เรียบร้อย แล้วเอาใส่เครื่องซักผ้า
ขั้นสอง
จัดการเอาสีย้อมผ้าใส่น้ำร้อน คนให้ละลายเข้ากัน เอาเกลือผสมน้ำร้อนทิ้งไว้อีกแก้วหนึ่ง ผสมสีแดงครึ่งช้อน เติมสีเหลืองเข้าไปอีกครึ่งช้อน ใส่แก้ว เติมน้ำร้อน
ขั้นสาม
เปิดเครื่องซักผ้าซักไปตามปกติพอน้ำเติมขึ้นมาพอสมควรแล้วก็เทสีที่เตรียมไว้ลงไป
ขั้นสี่
น้ำที่ใช้ย้อมไม่ควรมากเกินไป จักเปลืองสีมาก ให้เติมน้ำเข้าไปปริ่มๆ ผ้าเท่านั้น พิจารณาดูผ้าสีต้องเข้มกว่าสีที่เราต้องการนิดหนึ่ง เดี๋ยวพอล้างน้ำ สีจักอ่อนลงมาพอดี ถ้าสีไม่เข้มพอให้ผสมสีเติมลงไปอีก (ที่ทำนี้ ผ้าจีวร ๓ ผืน กับอังสะ (เสื้อใน) อีก ๒ ตัว สบงอีก ๒ ผืน ใช้สีทั้งหมด ๔ ช้อน ผสมน้ำ ๔ แก้ว ผสมทีละแก้ว ดูสีเนื้อผ้า ดูสีน้ำ จางไปก็เติมลงไปเรื่อยๆ จนแก้วที่ ๔ ได้น้ำย้อมสีคล้ายชาดำเย็นแล้ว ก็หยุด)
ขั้นห้า
เมื่อผสมสีลงไปจนหนำใจแล้วปล่อยให้มันปั่นๆไปประมาณสิบนาที ก็เทน้ำเกลือตามลงไป
ขั้นหก
พยายามเกาะติดกับเครื่องไว้ถ้ามันหยุดซักก็รีเซ็ทโปรแกรมซักต่อไปประมาณครึ่งชั่วโมง หรือถ้าอดทนพอ ก็กวนไปสักชั่วโมงก็ได้
ขั้นเจ็ด
พวกเครื่องซักผ้าที่เป็นระบบอัตโนมัติ คงยุ่งยากหน่อย ต้องพอรู้ขั้นตอนการทำงานของมัน พอกวนไปจนสาแก่ใจแล้ว ก็เดรนน้ำทิ้ง ถ้าเป็นระบบอัตโนมัติ ให้จัดการผสมผงกันสีตก ละลายลงไปในน้ำที่สอง แช่ไว้ประมาณ ๑๐-๒๐ นาที
ขั้นแปด
จากนั้นเครื่องจักปั่นหมาด เสร็จแล้ว ก็เอาผ้าที่ได้ไปตากแดด
ขั้นเก้า
จัดการเอาผ้าชุบน้ำยาซักผ้าขาว เช็ดรอยกระดำกระด่างที่เกิดจากสีย้อมผ้าบนเครื่องซักผ้า หลังย้อมเสร็จทันที
ขั้นสิบ
จัดการเอาผ้าขี้ริ้วที่เตรียมไว้ใส่เครื่อง ตั้งโปรแกรมซักให้โหดสุด เท่าที่จักโหดได้ จัดการผสมน้ำยาซักผ้าขาว กับผงซักฟอกในปริมาณที่เกินปกติไปสักหน่อย ตัวน้ำยาซักผ้าขาว จักเข้าไปทำความสะอาดเครื่องซักผ้าของท่าน ให้ปราศจากคราบไคลของสีย้อมผ้า และคราบเกลืออันจักทำให้ถังซักเป็นสนิม
ขั้นสิบเอ็ด
ไปเอาผ้าที่ตากแห้งแล้ว มาซักซ้ำอีกที เอาน้ำยากันสีตกออก
![]() |
![]() |
ทอฝ้ายเป็นสายบุญ | การปลูกฝ้าย | การเก็บฝ้าย | การทอฝ้าย | การตัดเย็บจีวร | การจุบคราม